Brussels-Atomium-Old town (day 3/10)

8 November 2015
เดินทางออกจาก ที่พัก Meininger Hotel, Amsterdam ไป Brussels แต่เช้ามาก หมอกลงจัด แต่ก็ยังพอเห็นทาง ขับไปได้เรื่อยๆ และช่วงนี้เองที่น่าจะเป็นเวลาที่ถูกกล้องจับความเร็ว ถ่ายรถเราเพื่อปรับเงินเรื่องขับรถเร็วเกินกำหนดกว่าป้ายที่บอกไว้ข้างทาง 
ระยะทาง 202.2 กม. ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

ผู้โดยสารด้านหลัง
แวะกินอาหารเช้า มื้อนี้ต่างคนต่างจ่าย และเนื่องจากเป็นเวลาเช้ามาก ยังไม่ค่อยหิว เลยแบ่งอาหารกับอุ๊คนละครึ่ง มีสลัด และ Sandwitch ชา น้ำ จ่ายมื้อนี้ไป 8.75 Euro
เจอขนม Waffle ของ Gouda ขนมประจำประเทศ Netherlands ที่จอยแนะนำว่า ต้องกิน ก็เลยซื้อมาลองกิน 1 ห่อ ราคา 2 Euro ก็อร่อยจิงตามที่จอยบอก
กินอาหารเช้าเสร็จ เดินออกมาข้างนอกเจอกับกลุ่มนักปั่นจักรยานชาวดัตช์ เลยขอถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่ ฺBrussels 
ได้ที่จอดรถ ริมถนน แบบหยอดเหรียญ 2 Euro
Osseghem park Brussels เดือนพฤศจิกายน เป็นฤดู Autumn ที่พื้นมีใบไม้ร่วงเต็มไปหมด
Atomium เป็นอาคารใน Brussels แตเดิมสร้างขึ้นสำหรับงาน Expo 58 งาน Brussels World's Fair ปี 1958 ออกแบบโดยวิศวกร André Waterkeyn และสถาปนิก André and Jean Polak โดยมีความสูง 102 เมตร

(The Atomium is a building in Brussels originally constructed for Expo 58, the 1958 Brussels World's Fair. Designed by the engineer André Waterkeyn and architects André and Jean Polak, it stands 102 m tall. (from Wikipedia)

Address: Avenue de l'Atomium, 1020 Bruxelles, Belgium
Height: 102 m
Construction started: 1956
Architects: André Waterkeyn, Christine Conix)
Atomium (อะโตเมียม) อาคารไฮเทคแห่งนี้ มีความสูง 330 ฟุต ประกอบด้วยวัตุทรงกลม 9 ลูก แต่ละลูก มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 18 เมตร รวมน้ำหนักเบ็ดเสร็จแล้ว นวัตกรรมนี้หนัก 2,400 ตัน ใช้เวลา 18 เดือน ในการออกแบบ นานพอๆ กับระยะเวลาการสร้างภายในลูกกลมๆ ของ Atomium แบ่งเป็น จุดชมวิว ห้องอาหาร ห้องแสดงนิทรรศการ และตรงแกนกลางให้บริการด้วยลิฟท์ที่ว่ากันว่าเป็น ลิฟท์ที่เร็วที่สุดในยุโรป สถานที่แห่งนี้สะท้อนถึงความก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติในศตวรรษที่ 20 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกหลังความบอบช้ำจากสงคราม โดยมีการจัดงานBrussels World's Fair 1958 เมื่อวันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1958 เพื่อแสดงศักยภาพทางเทคโนโลยี 

รัฐบาลเบลเยี่ยมจัดให้มีการบูรณะ Atomium ใหม่ทั้งภายนอกและภายใน เมื่อปี ค.ศ.2003 จึงดูมีความทันสมัย และกลายเป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองบรัสเซลส์ ถ้านับจาก เริ่มสร้างใน ปี ค.ศ. 1958 จนถึงปัจจุบัน ค.ศ. 2016 Atomium มีอายุ 58 ปีแล้ว 
ข้อมูลจาก www.brusselspictures.com 
 Hotel St. Nicolas ที่ Brussels
พัก 2 ห้องนอน 1 คืน จ่ายไป 177 Euro
Parking ใกล้ๆ ที่พัก
เมื่อจอดรถเสร็จ ต้องเอา ticket จากเครื่องนี้ จะได้เอาไว้แสดงตอนจ่ายเงินว่าเราจอดกี่ชั่วโมง ก็เอารถออกจากที่จอดได้
 ทางเข้าและออกของ Parking สะดวก สบาย ปลอดภัย ใกล้ที่พัก
จ่ายไป 14.90 Euro สำหรับ 1 คืน
ต้องลากกระเป๋าจากที่จอดรถ ไปที่โรงแรม เมื่อเรา check in เอากระเป๋าไปเก็บในห้องเรียบร้อย ก็ประมาณบ่าย 2-3 โมง ก็ออกไปเดิน Old town ซึ่งใกล้ที่พักอีกเช่นกัน
ระยะทางเดิน จากที่พัก ไป Grand Place 290 m. 
เมื่อพระอาทิตย์กำลังจะตก แสงจะส่องไปที่ตัวอาคารเป็นสีทองอร่าม เป็นช่วงที่เมื่อถ่ายรูปแล้วจะดูสวย

Grand-Place de Bruxelles  จตุรัสหลักแห่งบรัสเซลส์ หรือ กร็อง-ปลัสเดอบรูว์แซล (ฝรั่งเศส: Grand-Place de Bruxelles, ออกเสียง: [ɡʁɑ̃ plas]) และ โกรเทอมาคท์ (ดัตช์: Grote Markt) คือจัตุรัสกลางบรัสเซลส์ซึ่งรายล้อมด้วยเหล่าอาคารเก่าอันสวยงามและกลมกลืนกันทางสถาปัตยกรรม และถือว่าเป็นจัตุรัสที่สวยที่สุดในโลก โดยเฉพาะออแตลเดอวีล (Hôtel de Ville de Bruxelles) และแมซงดูว์รัว (Maison du Roi)
 
จัตุรัสแห่งนี้ถือเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดในการท่องเที่ยวและยังถือเป็นจุดหมายตาที่สำคัญแห่งหนึ่งของเบลเยียมอีกด้วย กร็อง-ปลัสแห่งนี้มีขนาดความกว้าง 68 เมตร ยาว 110 เมตร ในปัจจุบัน จัตุรัสแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยองค์การยูเนสโก
ศาลาว่าการกรุงบรัสเซลส์ หรือ 
ภาษาฝรั่งเศส: Hôtel de Ville de Bruxelles: ออแตลเดอวีลเดอบรูว์แซล 
ภาษาอังกฤษ: Brussels Town Hall เป็นศาลาว่าการของกรุงบรัสเซลส์ 
โดยเป็นอาคารเพียงแห่งเดียวที่สร้างตั้งแต่สมัยยุคกลางในสถาปัตยกรรมกอทิก ที่ตั้งอยู่ที่ใจกลางส่วนประวัติศาสตร์ของนครบรัสเซลส์ คือ กร็อง-ปลัส (La Grande Place de Bruxelles)
Manneken Pis (แมนเนเกน พิส  Manneken Pis; แปลว่า เด็กชายกำลังปัสสาวะ บางครั้งเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า le Petit Julien (แปลว่า จูเลียนน้อย) เป็นน้ำพุขนาดเล็กหล่อด้วยทองแดงเป็นรูปเด็กชายยืนเปลือยกายกำลังปัสสาวะใส่อ่าง มีความสูงประมาณ 61 ซ.ม. ตั้งอยู่บริเวณทางแยกระหว่างถนน Rue de l'Étuve/Stoofstraat และ Rue du Chêne/Eikstraat ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ รูปหล่อปัจจุบันออกแบบโดยเจอโรม ดูเกสนอย ช่างหล่อชาวฝรั่งเศส-ฟลามส์ ถูกนำมาติดตั้งราวปี ค.ศ. 1618 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเบลเยียม

มีตำนานเล่าว่า รูปปั้นนี้เดิมสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ด้วยหินแกะสลัก ในขณะนั้นบรัสเซลส์อยู่ท่ามกลางสงคราม และถูกฝ่ายตรงข้ามนำระเบิดมาวางไว้ที่กำแพงเมือง เด็กชายคนหนึ่งชื่อ จูเลียนสกี (Julianske) มาพบสายชนวนระเบิดกำลังติดไฟ จึงปัสสาวะรดเพื่อดับชนวนและป้องกันเมืองไว้ได้ ชาวเมืองจึงทำรูปแกะสลักนี้ไว้เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ ต่อมารูปสลักนี้ถูกขโมยสูญหายไปหลายครั้ง จึงถูกแทนที่รูปหล่อตัวปัจจุบัน ที่ออกแบบโดยเจอโรม ดูเกสนอย ในปี ค.ศ. 1618

ในปัจจุบัน เทศบาลเมืองบรัสเซลส์ได้จัดเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ บางช่วงจะมีการจัดเครื่องแต่งกายพื้นเมืองต่าง ๆ สวมให้กับรูปปั้นนี้ รวมถึงเครื่องแต่งกายวัฒนธรรมร่วมสมัยอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ หรือมิกกี้ เมาส์ หรือแม้แต่เทศกาลของต่างชาติ เช่น ประเพณีสงกรานต์ของไทย โดยในช่วงเวลาปกติรูปปั้นนี้จะอยู่ในสภาพเปลือยกาย

เดินเข้าไปชมร้านขาย cartoon character TIN TIN

TIN TIN ตินติน 
เรื่องในภาษาฝรั่งเศส: Les Aventures de Tintin et Milou;
เรื่องในภาษาอังกฤษ: The Adventures of Tintin
เรื่องในภาษาไทย: การผจญภัยของตินติน
ในภาษาฝรั่งเศส และภาษาดัตช์อ่านออกเสียงว่า "แตงแตง" 
ภาษาไทยและอังกฤษอ่านว่า ตินติน 
เป็นการ์ตูนที่มีชื่อเสียงมากเรื่องหนึ่งในโลก กำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1929 จากปลายปากกาของ จอร์จ เรมี (Georges Remi) ชาวเบลเยื่ยม โดยใช้นามปากกาว่าแอร์เช่ (R.G.) ซึ่งนำเอาตัวอักษรแรกของชื่อและนามสกุลมาสลับตำแหน่งกัน และออกเสียงแบบภาษาฝรั่งเศส (HERGÉ)

เรื่องราวของ ตินติน ได้รับการถ่ายทอดไว้ในหนังสือจำนวน 24 เล่ม มีการแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 50 ภาษา (รวมทั้งภาษาไทยด้วย) และมียอดจำหน่ายกว่า 200 ล้านเล่มทั่วโลก และกำลังจะนำมาสร้างเป็น
ภาพยนตร์แอนิเมชัน จำนวน 3 ภาค โดย สตีเฟน สปีลเบิร์ก และปีเตอร์ แจ็กสัน
เมือง Brussels นี้ มีขนมหวานและ chocolate ตามร้านต่างๆ ดูน่ากินไปหมด เราเห็นว่ามีคนเข้าร้านนี้ต่อคิวยาวกว่าร้านอื่น จึงเดาว่าขนมต้องอร่อย เลยได้กิน Waffle และ ice cream ของร้านนี้อร่อยมากจริงๆ😘 
เดินหาร้านอาหาร หิว หิว
Cheers 🍺
เดินชมเมืองกันจนมืดค่ำ ร้านอาหารส่วนมากก็ปิดเร็ว โชคดีมาเจอร้านนี้ปิดดึก เป็นอาหารฝรั่ง มื้อนี้จ่ายไป 125 Euro กินอาหารเสร็จก็เดินกลับไปที่พัก พรุ่งนี้ขับรถไป เมือง Bruges

มีต่อ ......
เมือง Bruges

No comments:

Post a Comment